ผถห.FPI อนุมัติจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 65 เพิ่ม 0.08 บ.ต่อหุ้นรวมทั้งปีจ่ายปันผล 0.16 บาทต่อหุ้น เตรียมรับทรัพย์ 9 พ.ค.นี้ ลุยเจาะตลาดลูกค้า EV ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 3,000 ลบ.ออลไทม์ไฮต่อเนื่อง

ผถห.FPI อนุมัติจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 65 เพิ่ม 0.08 บ.ต่อหุ้นรวมทั้งปีจ่ายปันผล 0.16 บาทต่อหุ้น เตรียมรับทรัพย์ 9 พ.ค.นี้ ลุยเจาะตลาดลูกค้า EV ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 3,000 ลบ.ออลไทม์ไฮต่อเนื่อง

ผู้ถือหุ้น บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) พร้อมใจโหวตผ่านมติจ่ายเงินปันผลครึ่งหลังปี 2565   เพิ่มอีกอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปีจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด 0.16 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมที่จ่ายทั้งสิ้น242.08 ล้านบาท ฟาก "สมพล ธนาดำรงศักดิ์" ระบุตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เเตะ 3,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ลุยขยายตลาดเน้นลูกค้ากลุ่มรถไฟฟ้า (EV) ดันยอดขายโตกระฉูด

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือFPI เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565   อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกหุ้นละ 0.08 บาท จากผลการประกอบการของบริษัทฯ  งวด 6 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ  ซึ่งถือหุ้นรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,513,029,934 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลจ่ายในครั้งนี้ 121,042,394.72 บาทโดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 เมษายน 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทฯ  ได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.08 บาท/หุ้น สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565  จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายในปี 2565 ทั้งสิ้นจำนวนหุ้นละ 0.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 242,084,789.44 บาททั้งนี้ได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 เมษายน 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายใน วันที่ 9 พฤษภาคม 2566

"สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ราว 10% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายกลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) ในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มรถไฟฟ้า (EV) โดยคาดว่ายอดขายจะเติบโตที่ 700 ล้านบาท และคาดว่ามาร์จิ้นจะอยูที่ราว 30% จากปี 2565 ที่ 500 ล้านบาท และในปี 2567 ที่ 1,000 ล้านบาท "  นายสมพลกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ  มีแผนรุกขยายไปในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดอียิปต์ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันแผนความร่วมกับพันธมิตรลงทุนในประเทศอียิปต์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งการตัดสินใจไปลงทุนสร้างโรงงาน และคลังสินค้าดังกล่าว บริษัทประเมินว่าจะช่วยสนับสนุนให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าได้เป็นอย่างดี และช่วยดันมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นในส่วนของตลาดโซนแอฟริกาเหนือได้ไม่ต่ำกว่า15%

ข่าวเกี่ยวข้อง