เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยผลประกอบการปี 64 ย้ำดีมานด์ยังแข็งแกร่งจากยอดขายรถยนต์ไฮเอนด์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เติบโตขึ้น; ในไทย ยอดขายรวมโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนชูความโดดเด่นของรุ่นปลั๊กอินพร้อมนำทัพรถยนต์ใหม่บุกตลาดต่อเนื่องในปี 65

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยผลประกอบการปี 64 ย้ำดีมานด์ยังแข็งแกร่งจากยอดขายรถยนต์ไฮเอนด์และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เติบโตขึ้น; ในไทย ยอดขายรวมโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนชูความโดดเด่นของรุ่นปลั๊กอินพร้อมนำทัพรถยนต์ใหม่บุกตลาดต่อเนื่องในปี 65

• “เดมเลอร์ เอจี” รีแบรนด์เป็น “เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี” ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2565

• เมอร์เซเดส-เบนซ์กวาดยอดขายทั่วโลกกว่า 2.4 ล้านคันในปี 2564 แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาเรื่องซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์

• ยอดขายรถยนต์พลังไฟฟ้า (xEVs) และรถยนต์ไฮเอนด์ (Maybach, AMG, G-Class) สร้างสถิติใหม่   ตอกย้ำการพัฒนากลยุทธ์ด้านการขายแบบผสมผสาน

• ในประเทศไทย แม้ตลาดรถยนต์ลักชัวรีโดยรวมหดตัวลง 9% ในปี 2564 แต่ยอดขายรวมของเมอร์เซเดส-เบนซ์เติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่เติบโตขึ้น 14%

• The new EQS มีกระแสตอบรับล้นหลาม โดยมีลูกค้าแสดงความสนใจผ่านช่องทางดิจิทัล (digital leads) มามากกว่า 500 รายทั้งที่งานมหกรรมยานยนต์และการจัดงานเปิดตัวพิเศษที่เซ็นทรัลเวิลด์และเอ็มโพเรียมในปีที่ผ่านมา

• เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมรถยนต์รุ่นใหม่ไว้สร้างความตื่นเต้นตลอดปีทั้งจากแบรนด์ Mercedes-Benz, Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG โดยมี “The new EQS” รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรกจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จะถูกผลิตและจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้

หลังการรีแบรนด์อย่างเป็นทางการของ “เดมเลอร์ เอจี” สู่ “เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี” ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์  2565 บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รายงานผลการดำเนินงานปี 2564 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์หรูด้วยยอดขายมากกว่า 2 ล้านคัน แม้จะมีความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และปัญหาเซมิคอนดักเตอร์ที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบรถยนต์แต่ความต้องการรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงแข็งแกร่ง เห็นได้จากรถยนต์จากแบรนด์ Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ G-Class มียอดขายที่สร้างสถิติใหม่ในปี 2564 ถือเป็นการย้ำความแข็งแกร่งของความเป็นแบรนด์รถยนต์หรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าทำสถิติยอดขายสูงถึง 227,458 คัน หรือเพิ่มขึ้น 69.3% โดย 48,936 คันในจำนวนนั้นเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จากแบรนด์ Mercedes-EQ ที่ทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 154.8% และตั้งแต่รถยนต์รุ่น EQS ออกวางจำหน่ายในตลาดโลกในเดือนสิงหาคม2564 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแฟลกชิพคันนี้ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามามากถึง 16,370 คัน สำหรับในประเทศไทย ยอดขายโดยรวมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเห็นได้ชัดว่าดีมานด์ของลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรุ่นปลั๊กอินไฮบริด

ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 14% ในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์มองว่าปี 2565 จะเป็นปีที่ดียิ่งขึ้นอีกสำหรับตลาดรถยนต์หรู โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ พร้อมเปิดตัว “The new EQS” อย่างเป็นทางการในฐานะรถยนต์ไฟฟ้า 100% คันแรกจาก Mercedes-EQ ที่จะได้รับการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศไทย โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเตรียมรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จากแบรนด์ Mercedes-Benz, Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG พร้อมแคมเปญการตลาดที่จะมีออกมาตลอดทั้งปี

มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี2564 แม้จะมีความท้าทายหลายประการจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ผลการดำเนินงานทั่วโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคงแข็งแกร่งด้วยยอดขายที่มากกว่า 2 ล้านคัน โดยรถยนต์ระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็นMercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ G-Class ได้สร้างสถิติใหม่ในเรื่องยอดขาย ส่วนรุ่นยนต์รุ่น EQS ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่วิ่งได้ระยะทางไกลที่สุดในตลาดปัจจุบันก็ทำยอดขายได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งดีมานด์จากผู้บริโภคทั่วโลกทำให้เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมที่จะก้าวสู่ยุคใหม่ของการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากยอดขายของรถยนต์รุ่น S-Class ที่เพิ่มขึ้น 40% เป็น87,064 คัน โดยยอดขายในประเทศจีนคิดเป็น 35.5% ของความต้องการรถยนต์รุ่นนี้จากทั่วโลก ในขณะที่ยอดขาย G-Class ก็เพิ่มขึ้นแบบสร้างสถิติใหม่ที่ 41,174 คัน ส่วนยอดขาย Mercedes-AMG ทำได้145,979 คัน เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สำหรับยอดขาย Mercedes-Maybach อยู่ที่ 15,730 คัน หรือเพิ่มขึ้น 50.7% ด้วยแรงหนุนจากประเทศจีนซึ่งรถยนต์ Mercedes-Maybach สามารถทำยอดขายได้ในอัตราที่มากกว่า 900 คันในแต่ละเดือน”

“ในประเทศไทย ความต้องการในตลาดรถยนต์ระดับลักชัวรีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์โควิด ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากการที่เราให้ความสำคัญกับลูกค้าและนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการได้อย่างตรงใจ ตลอดปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์และพนักงานทุกคนมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเสมอให้กับลูกค้า นอกจากแคมเปญการตลาดที่น่าตื่นเต้นมากมายที่เรานำเสนอออกมาตลอดทั้งปีเรายังได้เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่น GLS และรุ่น S-Class ใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา เรายังได้ประกาศเปิดตัว The new EQS ซึ่งจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่เมอร์เซเดส-เบนซ์จะผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในปีนี้ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่อย่างเป็นทางการของการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย นอกจากนี้ อีกหนึ่งความพิเศษของปี 2564 คือการที่เราได้รับรางวัล “บริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชียปี 2021” จาก HR Asia สะท้อนถึงการทำงานด้วยความมุ่งมั่นของพวกเราทุกคนที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทยอย่างดีที่สุด” มร. โฟลเกอร์กล่าวเพิ่มเติม

มร. บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปี 2564 เป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เรามองเห็นอย่างชัดเจนว่าความต้องการของผู้บริโภคนั้นเพิ่มสูงขึ้นตลอดทั้งปี ในช่วงครึ่งปีแรก ยอดขายรถยนต์คอมแพ็คของเราเพิ่มขึ้น 58% หลังการเปิดตัวรถยนต์รุ่น A-Class ใหม่และรุ่น GLA ใหม่ ในขณะที่ในกลุ่มรถยนต์Luxury และกลุ่ม SUV มียอดขายเพิ่มขึ้น 27% และ 29% ตามลำดับ ในกลุ่มรถยนต์คอมแพ็คนั้น หากรวมกับยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง ยอดขายของรถยนต์กลุ่มนี้นับว่าเติบโตขึ้นถึง 113% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ารถยนต์รุ่นนี้เป็นที่นิยมสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ส่วนภาพรวมของไตรมาสที่ 4 ยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์เพิ่มขึ้น 28.1% นอกจากนี้ ยอดขายของรถยนต์รุ่นปลั๊กอินไฮบริดยังมีการเติบโตขึ้นถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์เลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่สุดในตลาด PHEV ระดับลักชัวรี และในขณะเดียวกัน เรายังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดี โดยเฉพาะ

ข่าวเกี่ยวข้อง